English is not a monster
ภาษาอังกฤษไม่ใช่สัตว์ประหลาด
หากพูดถึงภาษาอังกฤษแล้ว
ทุกคนคงจะอวดครวญเลยทีเดียว
ที่พูดแบบนี้เพราะว่าภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาบิดามารดาตั้งแต่เริ่มต้นสร้างอาณาจักรนี้ขึ้นมา อยู่ดีๆ จะให้พูด เรียน เขียน อ่านได้เลย เป็นไปได้ยาก จะเห็นว่าปัญหาของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษมีมากกว่าจำนวนคนในประเทศนี้อีก
(พูดแล้วน่ากลัวเลยทีเดียว) ที่จริงภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ทุกคนต้องเคยได้ยินได้ฟัง
ได้เขียนหรือบางทีเคยได้พูดมาบ้าง แต่ที่ทุกคนกลัวเพราะว่าสิ่งตนเองได้ยิน ได้ฟัง
ได้เขียนหรือได้พูดมาไม่ได้ออกจากภายในความรู้สึกจริง
ล้วนแล้วแต่ออกมาความจำ จากครู จากตำราหรือถูกสั่งสอนมาแบบผิดๆ
ครูมักสอนเรื่องไวยากรณ์ (Grammar) หรือโครงสร้างทางภาษาอังกฤษก่อน ทั้งที่เด็กยังพูดไม่ได้ ฟังไม่เป็น
สนทนาไม่ถูก
ยังไม่รู้ว่าประโยคภาษาอังกฤษจะสร้างมาเพื่อทำสวรรค์วิมานอะไร แต่พอนึกถึงภาษาไทยเราไม่ได้เรียนในโรงเรียนมาก่อนแต่สนทนากันปร๋อเลย
บางทีพูดโดยไม่ต้องคิดก่อนด้วยซ้ำไป
แต่ภาษาอังกฤษคิดแทบตายแต่พูดไม่ได้สักที
เหตุนี้เองที่ทำให้การจัดการศึกษาของไทยยังเข้าไม่ถึงธรรมชาติการเรียนรู้ภาษาของเด็ก ซึ่งต้องอาศัยการเรียนรู้โดยธรรมชาติไม่ใช่เอาระบบเอาตำราหรือหลักการทางภาษามายัดให้กับเด็ก
ถึงตอนนี้
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาที่จะว่าระบบการศึกษาของไทยไม่ดีนะ
เพียงแต่หากประสงค์จะให้เด็กไทยเก่งภาษาจะต้องเริ่มต้นจากจุดไหนไปหาจุดไหนเท่านั้นเอง
หากถามคนประเทศอื่นว่า
ระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ ภาษาไหนเรียนง่ายกว่ากัน แน่นอนคำตอบก็คือ ภาษาอังกฤษ เหตุผลเพราะพยัญชนะ
สระในภาษาอังกฤษไม่ได้มากเหมือนภาษาไทย
คำพ้องรูป คำพ้องเสียง วรรณยุกต์เยอะแยะไปหมดเลย แม้กระทั้งคนไทยแท้ๆ
ยังไม่รู้เรื่องเลยแล้วจะให้ฝรั่งอย่างไอรู้เรื่องได้ยังไง 555+ หากดูผลการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ
ของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) NIETS วิชาที่เด็กไทยตกเยอะมากที่สุดไม่ใช่ภาษาอังกฤษ
แต่เป็นภาษาไทย
และในปลายปี 2558
ประเทศไทยจะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียน
การติดต่อสื่อสารล้วนแต่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสื่อสารของคนในกลุ่มนี้ หากประเทศไทยยังด้อยพัฒนาในเรื่องนี้อยู่ก็คงต้องเอากะลามะพร้าวมาครอบประเทศนี้ไว้ดีกว่า
ไม่งั้นผลผลิตทางภาษาอังกฤษเราไปทำลายโครงสร้างภาษาต้นแบบแน่เลย อย่างเมื่อไม่นานมีคนแถวข้างๆ
วัดมีแฟนเป็นชาวต่างชาติ เมื่อสาวไทยโกรธแฟนฝรั่งขึ้นมาก็จะพูดว่า “Make me angry,
you stay difficult sure” แปลว่า ทำให้กรูโกรธ มึงอยู่ยากแน่ “You
know me a little go” แปลว่า มึงรู้จักก็น้อยไป “Go far far
from feet” แปลว่า ไปไกลๆ ตีนกรู (ขออภัยใช้คำหยาบไปนิด) “How
many water you can go” แปลว่า จะไปได้สักกี่น้ำ หรือบางครั้งเจอแบบฟอร์มให้กรอกในช่อง SEX
แทนที่จะกรอก male หรือ female ก็ดันไปกรอกว่า sometimes หรือ not too much แทน (โดยเฉพาะท่านที่เดินทางไปต่างประเทศเจอบ่อยมาก)
ที่พูดมาเป็นลักษณะผลผลิตของการศึกษาที่ขาดโอกาสและประสบการณ์ที่ถูกต้อง
หากถามว่าฝรั่งรู้เรื่องไหมที่พูดแบบนั้น
ถ้าเป็นฝรั่งที่เข้าใจคนไทยและอยู่เมืองไทยมาหลายปีก็คงพอจะเข้าใจ แต่ถ้าเป็นฝรั่งเพียวๆ
เจอสถานการณ์แบบนี้เข้าไปก็คงลากลับประเทศไปเลย และชาตินี้พอกันทีกับสยามเมืองยิ้ม
เอาไปเอามา พูดถึงตรงนี้แล้วหลายๆ
ท่านก็คงกลัวกับภาษาอังกฤษไม่น้อย
แต่มีบางเรื่องที่ทำให้ภาษาอังกฤษไม่น่ากลัวไปเลย เมื่อปลายปีที่ผ่านมา
มีโอกาสได้เข้าไปศึกษาดูงานของโรงเรียนเด็กระดับประถมศึกษาแห่งหนึ่งในเขตจังหวัดขอนแก่น
ครูต่างชาติได้สั่งการบ้านให้เด็กเขียน “My Routine” แล้วมาส่งในพรุ่งนี้
แล้ววันรุ่งขึ้นครูต่างชาติบอกว่าผลงานของเด็กคนหนึ่งถือว่าเป็นชิ้นโบว์แดงเลยก็ว่าได้
เขียนได้เยี่ยมมาก มันเป็นเขียนออกมาจากความรู้สึกตามธรรมชาติมากกว่าความจำ
หรือโครงสร้างทางภาษาที่ถูกต้อง
สิ่งนี้เองที่ชาวต่างชาติต้องการให้เป็นการเรียนรู้ที่แท้จริง
คำแปล
กิจวัตรประจำวันของฉัน
ฉันต้องการขี้ (ถ่ายอุจจาระ), ฉันไปที่ข้างหลังก่อไผ่
ฉันนั่งลงและเห็นงูแล่นไล่ (วิ่งตาม), ฉันแล่นวะซั่น (วิ่งอย่างรวดเร็ว)
ฉันขึ้นหมากกะทัน (ต้นพุทธา), ฉันสั่นโท๊ดๆ (สั่นกลัว)
กิจวัตรประจำวันของฉัน
ฉันต้องการขี้ (ถ่ายอุจจาระ), ฉันไปที่ข้างหลังก่อไผ่
ฉันนั่งลงและเห็นงูแล่นไล่ (วิ่งตาม), ฉันแล่นวะซั่น (วิ่งอย่างรวดเร็ว)
ฉันขึ้นหมากกะทัน (ต้นพุทธา), ฉันสั่นโท๊ดๆ (สั่นกลัว)
ว่าไปแล้วไม่มีใครไม่เคยผิดพลาดในการใช้ภาษาอังกฤษมาก่อนที่จะเก่ง
เหมือนกันกับภาษาไทยกว่าจะพูดได้เป็นเสียงชัดเจนต้องใช้ระยะเวลาหลายปี บางคนพอพูดเก่งแล้วแทบจะพูดไม่หยุด (บ่นมาก) แล้วภาษาอังกฤษล่ะก็เพิ่งจะมาเริ่มพูดเป็นประโยคตอนมัธยม
หรือปริญญาตรี แล้วจะให้เก่งเหมือนเจ้าของภาษานั้นไปเลยก็เกินไป มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับท่านโยชิโร่
โมริ (Yoshiro Mori) อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น
มีนัดเข้าพบประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายบาลัค โอบาม่า เลยจ้างครูสอนภาษาอังกฤษมาแนะนำการทักทายเบื้องต้น
ซึ่งเป็นธรรมเนียมการปฏิบัติของการต้อนรับผู้นำระดับประเทศ แต่ก็ยังพลาดได้ แทนที่จะพูดทักทายว่า “How
are you?” แต่พูดว่า “Who are you?” คุณเป็นใคร? ก็เล่นถามตลกๆ แบบนี้ โอบาม่าก็เลยตอบกลับไปว่า
“I am Michelle’s husband, 555+” ท่านโมริไม่รี่รอรีบตอบกลับทันทีว่า “me too, 555+.”
หลังจากนั้น เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง ไม่ขอเล่าตรงนี้แล้วหล่ะ (สงครามโลกกำลังจะเกิดขึ้นอีกแน่เลย)
ดังนั้น สิ่งสำคัญของการเรียนรู้ภาษาได้ดี คือต้องปรับตัวเองให้เป็นธรรมชาติเหมือนเจ้าของภาษานั้นมากที่สุด
ทั้งบริบทการยืน นั่ง นอน ดื่ม กิน พูด ฟัง และคิด (ภาษาไทยเราเรียนรู้มายังไง ก็เรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบนั้นแร่ะ) หากทำได้มากก็เรียนรู้และเข้าใจมาก หากทำได้น้อยก็สะเน็คๆ
ฟิตๆ ต่อไป....Good
luck
สติมา นารีนุช
นักวิชาการศึกษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น